ความรู้สึกกับการเรียนหลักสูตรครูสมาธิ

เวลา 6 เดือน กับการเรียน 100 หัวข้อ คุณจะผ่านมันไปได้หรือไม่?

หลักสูตรครูสมาธิ เป็นหลักสูตรหนึ่งของ สถาบันพลังจิตตานุภาพ ผู้เขียนหลักสูตรนี้คือ พระธรรมมงคลญาณ พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร เป็นเป็นลูกศิษย์ และพระเลขาของพระอาจารย์มั่น ปุริทัตโต ซึ่งหลักสูตรนี้นั้นมีทั้งหมด 100 หัวข้อ ใช้เวลาเรียนทั้งหมด 6 เดือน

โดยรุ่นที่เราเรียนอยู่นี้คือ รุ่นที่41 มีชื่อรุ่นว่า เอกจัตตาฬิสโม มหาโชติปัญญา (ความรุ่งโรจน์แห่งปัญญาอันยิ่งใหญ่) เราเรียนที่ สถาบันพลังจิตตานุภาพ สาขาที่ 64 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ในบทความนี้เราจะเล่าถึงความรู้สึก ความรู้สึกของนักศึกษาที่มีต่อหลักสูตรนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งเราได้แสดงความรู้สึกในคลาสที่เรียนไปแล้วเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน แต่ว่า เวลา 3 นาที ที่ได้ออกไปพูด มันอาจจะน้อยเกินไปจริงๆ ก็เลยมาเขียนในนี้ หลายท่านอาจจะว่าแก่แดด หลายท่านอาจจะว่าเวอร์ แต่ได้โปรดเชื่อเถอะ มันคือความจริงที่เกิดขึ้นกับเด็กชายคนหนึ่งที่ได้ศึกษาธรรมมะที่หลายๆคนยังหลงงมงายไปกับวัตถุและพุทธพานิชย์นั่นแหละ

  1. ท่านทราบข่าวหลักสูตรนี้จากที่ไหน ใครแนะนำมา และทำไมถึงมาเรียน?
  2. ก่อนและหลังจากที่เรียนหลักสูตรนี้แล้ว มีความรู้สึกหรือมีพัฒนาการอย่างไรบ้าง?
  3. ท่านได้แนะนำใครเรื่องหลักสูตรนี้ไปแล้วบ้างหรือยัง?
  4. ท่านอยากจะขอขอบคุณใคร?
  5. ท่านอยากจะเป็นอาจาริยสาหรือไม่?

ผมจะขอตอบทีละข้อนะครับ


ข้อที่ 1 
ผมทราบเรื่องหลักสูตรนี้ตอนที่ผมเรียน การบริหารจิตเพื่อชีวิตที่ดี 012100 ของคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตอนนั้นผมมีความสนุกและสนใจที่จะเรียนมาก แต่มารู้ว่ามีหลักสูตรนี้ก็ตอนที่เค้าปิดรับสมัครไปเรียบร้อยแล้ว ก็เลยได้มาเรียนในรุ่นที่41 ในที่สุด หลักสูตรตอนนั้นที่ผมเรียนก็คือ หลักสูตรสุทันตสาสมาธิ ซึ่งผมเป็นรุ่นที่ 8 ของหลักสูตรนี้ ที่จัดขึ้นที่ มช แล้วก็หวังว่าจะมีรุ่นที่ 9 ต่อไปนะครับ โดยที่บุคคลที่ชวนผมมาก็คือเหล่าคณาจารย์ที่สอนผมในตอนนั้น นำโดยอาจารย์จี่ ผู้ดูแลสาขา64 นั่นเองงงงง 
ถามว่า ทำไมผมถึงมาเรียนหลักสูตรนี้ อาจจะเป็นเพราะว่า มันสนุกก็ได้นะครับ แต่ไม่ใช่แค่นั้นหรอก เหนือจากความสนุกแล้วผมยังได้สิ่งที่ผมหามานานอีกสิ่งหนึ่งคือพื้นฐานของพื้นฐาน จริงๆแล้วผมฝึกสมาธิมาได้เกือบๆ 20 ปีแล้วแหละ แต่จริงๆจังๆก็ราวๆ 10 ปี อีกทั้งผมยังได้ทำรายงานกึ่งๆวิจัยเรื่อง สมถกรรมฐาน ซึ่งรวมรวมการทำกรรมฐาน 40กอง เข้าไว้ด้วยกัน ทั้งจากที่ศึกษาค้นคว้าและปฏิบัติมาเอง นั่นแหละชั่วโมงบินถึงสูง สิ่งที่ผมได้มาก็คือวิธีการทำสมาธิแบบต่างๆ เราจะฝึกจิตอย่างไรยังไง แต่สิ่งที่ขาดไปก็คือพื้นฐานของพื้นฐาน ซึ่งหลักสูตรนี้ก็ตอบโจทย์ได้อย่างดีมากๆเลยล่ะ เมื่อพื้นฐานได้แล้ว สิ่งที่ผมตามหาต่อก็คือ การปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน เพราะสิ่งที่ผมหวังไว้คงไม่เหมือนวัยรุ่นทั่วๆไปแน่ๆเลยล่ะ สิ่งที่ผมหวังไว้นั่นก็คือ พระนิพพาน นั่นเอง ดังนั้นผมต้องหาอาจารย์ อาจารย์ที่สอนพื้นฐานและสอนวิปัสสนาได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งตอนนี้ผมก็เจอแล้วล่ะ คิดว่านะ แต่ว่าหลักสูตรครูสมาธิคงไม่สามารถตอบโจทย์การฝึกวิปัสสนาของผมได้ แต่ก็อีกนั่นแหละ ในหลักสูตรนี้มีวิธีการมาพร้อมสรรพแล้ว เมื่อพร้อมเมื่อไรก็เริ่มได้เลย เราจะไม่หลงแล้วล่ะ ซึ่งแน่นอนว่าผมคิดว่าผมพร้อม ก็แหม่ ตะลุยมาหมดละทั้งด้านล่าง ด้านซ้าย จะไปด้านขวาทำไมจะไม่ได้ แต่ปรากฎว่า ณ ตอนนี้ กำลังของพลังจิตยังไม่เพียงพอ ซึ่งก็ไม่แปลก ผมใช้พลังจิตไปกับเรื่องราวๆหลายๆอย่างมากมาย มันก็ต้องมีร่อยหรอบ้างแหละ ก็ต้องสะสมกันต่อไปล่ะนะ 
อีกประการหนึ่งที่ทำให้ผมมาเรียนหลักสูตรนี้ก็คือ ผมต้องการสอนครับ ใช่แล้วล่ะ ผมต้องการสอนจริงๆ แต่คนที่ผมอยากสอนนั้น ก็คือแฟนของผมเอง แต่ตอนนั้นเรายังไม่ได้คบกันนะ เค้าต้องเข้าแอดมิดที่แผนกจิตเวชครับ ด้วยโรคซึมเศร้า แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่ทุกคนที่ใช้สมาธิแล้วรักษาหาย แต่เผอิญว่าเค้าเป็นคนชอบสายธรรมะอยู่แล้ว ซึ่งก็เข้าที ขณะนั้นผมก็เรียนหลักสูตรสุทันตสาอยู่ ก็เลยเอาความบางส่วนไปสอนเค้า ไปแนะนำ วิธีการ แนวทางต่างๆ ซึ่งพอเค้าออกจากโรงพยาบาลแล้วผมก็ได้ชักชวนให้มาฟังด้วยกัน และก็ประจวบเหมาะกับตอนที่ผมแขนหักพอดี...  แต่เดี๋ยวก่อน เรามาย้อนถึงทำไมถึงอยากสอนแฟน จริงๆไม่ใช่แค่สอนครับ ผมอยากรักษาให้เค้าหายด้วย ประโยชน์ข้อหนึ่งของการทำสมาธิคือการรักษาโรค(แต่ไม่ได้ทุกโรคนะ หลวงพ่อบอกมา) ผมมีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่า พลังจิตนั้น สามารถเหนี่ยวนำ และโน้มน้าวให้ cell ในร่างกายเยียวยาตัวมันเองในแบบที่มันเป็น และการโน้มน้าวนั้นใช้เวลารวดเร็วกว่าความเป็นจริงตามปกติค่อนข้างมาก(คำพูดของแองเชี่ยนวัน ในหนังหมอแปลก) นั่นแหละครับ ผมเชื่อเช่นนั้นแหละ 
 
ข้อที่ 2
อย่างที่ผมเล่าในข้างต้นว่า ผมฝึกสมาธิมาหลายปี แต่จริงๆก็เว้นช่วงไว้ 2 ปี ก่อนมาเจอสุทันตสาสมาธิอ่ะนะ ผลที่ได้ก่อนและหลังจากเรียนหลักสูตรครูสมาธิจึงไม่ค่อยเห็นเป็นรูปธรรมสักเท่าไร แต่สิ่งที่แน่ชัดเลยนั่นก็คือ ความละเอียด ความละเอียดที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผมเพ่ง และปล่อยให้ข้อมูลข่าวสารไหลผ่านสมองไป สมองผมจะประมวลผลและทำความเข้าใจมันได้อย่างรวดเร็ว จนบางครั้งในบางเรื่องที่คนอื่นไม่เข้าใจ ผมก็สามารถเข้าใจได้ง่าย อีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ ผมสามารถรับรู้ถึงกระแสความคิดและความรู้สึกจากคนรอข้างที่แผ่ออกมาได้ชัดเจนขึ้น คือรับรู้ได้เลยล่ะว่าเค้าคิดอะไรประมาณไหนอยู่ เป็นด้านบวกหรือด้านลบ แต่มันก็ไม่ถึงขั้นที่อ่านใจได้แบบทะลุปรุโปร่งหรอกนะครับ ผมไม่ได้เก่งถึงขั้นนั้น
ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นชัดที่สุด ก็ต้องเป็นตอนที่ผมยังเรียนสุทันตสาอยู่ ในช่วงนั้น ประมาณปลายเดือนมีนาคม ของปีที่แล้ว ผมประสบอุบัติเหตุ รถล้มแขนหัก และในขณะที่รถผมกำลังล้ม ผมรับรู้ได้อย่างทันทีทันใดเลยว่าผมต้องทำอะไรบ้าง ผมต้องป้องกันส่วนไหน ผมต้องเอามือมาป้องกันหัว ไม่ให้หัวกระแทกถนน ผมทั้งกลิ้งและไถลไปตามพื้นถนนกว่า 10 เมตร นี่แค่ขับไม่เกิน 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนะ ก็แน่ล่ะ ก็ถนนมันลื่นนี่ ผลปรากฎว่า ต้นแขนขวาของผมหนัก ขาถลอกนิดหน่อย หัวผมไม่เป็นไร เล่นเอาแพทย์แปลกใจกันเลยทีเดียวแหละครับ และผลจากการที่ผมมีสติรับมือได้ขนาดนี้ก็คือ ไปนอนเล่นใน er 6 ชั่วโมงเต็ม เปื่อยกันเลยทีเดียว 

ข้อที่ 3
ในตอนนี้นั้นผมได้แนะนำและโน้มน้าวแม่ของผมให้มาเรียนในรุ่นที่ 42 จริงๆก็จะได้เรียนรุ่นเดียวกับผมแล้วแหละแต่ติดที่ว่าท่านไม่ค่อยมีเวลาว่างสักเท่าไร และผมก็มีความคิดที่อยากเผยแพร่หลักสูตรนี้ให้กับวัยรุ่นแบบผมได้รู้จักและเรียน ให้พวกเค้ารู้ว่า การเรียนสมาธิไม่ใช่เรื่องยาก หรือไกลตัว มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่มันคือ สมาธิไฮเทค
จะว่าไปแล้ว ถ้าถามถึงความประสบผลสำเร็จในการเชิญชวนก็คงเป็นแฟนผมเองแหละที่ชวนเค้ามาเรียนหลักสูตรนี้ได้สำเร็จล่ะนะ 555+

ข้อที่ 4
และแน่นอนครับ บุคคลที่ผมจะขอบคุณเป็นคนแรกเลยก็คือ พระอาจารย์ของผมเอง ที่ท่านได้สร้างหลักสูตรนี้ขึ้นมา ที่ท่านกลั่นกรองประสบการณ์กว่า 50 ปีของท่าน ให้เหลือ 6 เดือนและทำให้หลักสูตรนี้ง่ายต่อการเข้าถึงมากๆเลยล่ะ
บุคคลต่อมาที่อยากขอบคุณก็คือ อาจาริยสาทุกๆท่านที่ได้มาให้คำแนะนำ สอนสั่งตลอดหลักสูตร ถ้าไม่ได้พวกท่านผมคงไม่ได้แนวคิดดีๆในการปฏิบัติธรรมแน่ๆครับ ขอบคุณเจ้าของสถานที่ ที่อำนวยความสะดวกมากๆ ผมจะได้ไม่ต้องขับรถไกลเพื่อไปเรียน ขอบคุณตัวผมเองที่อดทนและเรียนมาถึงวันนี้โดยไม่ขาดเลยแม้แต่วันเดียว เย่ และที่สำคัญที่สุด บุคคลที่ทำให้ผมอยากเรียนหลักสูตรนี้ นั่นก็คือ น้องไนซ์ แฟนของผมนั่นเองงงงงงงงง
อ้อ เกือบลืมไป ขอขอบคุณกัลยาณมิตรรุ่นที่41มากๆเลยนะครับ มันทำให้ผมได้เพื่อน(ต่างวัย)ที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน มาแบ่งปันเรื่องราวดีๆและน่าสนใจให้แก่กันและกันครับผม 

ข้อที่ 5
จริงๆแล้วผมอยากเรียนทุกหลักสูตรที่สถาบันเปิดสอนเลยแหละ จริงๆนะ ซึ่งแน่นอนว่าหลักสูตรอาจาริยสาผมต้องสนใจอยากเรียนแน่นอน แต่ก็ได้แว่วข่าวมาว่า อาจมีข้อจำกัดเรื่องอายุ นั่นแหละ เจือกเป็นเด็กที่สนใจเรื่องนี้อ่ะนะ 555555
ผมอยากเป็นผู้ถ่ายทอดครับ ถ่ายทอดแก่นแท้ของพุทธศาสนาออกไป ให้ทุกคนได้ประจักษ์ ถึงตรงนี้มันทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์หนึ่ง ราวๆ 5-6 ปีก่อน ตอนที่ผมเข้าใกล้ความตายในห้อง RCU(มันคือห้องที่หนักหน่วงน้อยกว่า ICU นิดหน่อยแหละ แต่ก็รวมบรรดาคนใกล้ตายเข้าไว้ด้วยกันด้วย ซึ่งเท่าที่จำความได้คือ 2 ศพ ใน2คืนที่ผมนอนในห้องนั้น) ได้มีร่างทรงที่ผมรู้จักได้พูดกับแม่ผมว่า ถ้าจะให้ผมรอดมาได้ ต้องแลกนะ แลกกับชีวิตที่ต้องบำรุง เผยแพร่ พุทธศาสนาต่อไป ซึ่งในตอนนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ดีนะ ที่ผมจะได้มีโอกาสรับใช้พระพุทธศาสนาที่ผมนับถือนี้น่ะ ผมยินดีมากๆเลย แม้ว่าการสอนของผมอาจจะเต็มไปด้วยความย้อนแย้งในจิตใจของผู้มีอายุหลายๆท่านก็เถอะ แต่ผมก็จะทำมันอย่างเต็มที่ครับ 
 
สุดท้ายนี้คือเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลเกี่ยวกับความรู้สึกที่ได้แสดงออกไป ผมมีความสุขมากๆนะครับที่ได้เรียนในหลักสูตรนี้อ่ะ ได้รู้จักกัลยาณมิตรดีๆหลายๆท่านเลย แล้วผมจะละทิ้งการทำสมาธิได้อย่างไรล่ะ จริงมั้ย

P.


 
 
 

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บันทึกท้ายบท ครูสมาธิรุ่นที่41